Halloween Kills : ฝันร้ายยังไม่จบ! Universal Pictures ได้ปล่อยทีเซอร์แรกของ Halloween Kills ที่เผยให้ทราบว่าจะดำเนินเรื่องต่อจากที่ Halloween (2018) ทิ้งท้ายเอาไว้ทันที โดยจับภาพไปที่ Laurie (รับบทโดย Jamie Lee Curtis), Karen (รับบทโดย Judy Greer) และ Allyson (รับบทโดย Andi Matichak) กำลังนั่งรถกระบะเพื่อหนีไปจากบ้าน (ของ Laurie เอง) ที่ไฟกำลังลุกไหม้ และทิ้งร่างของ Michael Myers ฆาตกรสุดโหดเอาไว้ข้างใน เพื่อให้แน่ใจว่าเขาจะไม่กลับมาทำร้ายใครได้อีก
ภายหลังจากที่ Halloween (2018) ซึ่งรีบูตจากภาพยนตร์ต้นฉบับของผู้กำกับ John Carpenter (จอห์น คาร์เพนเตอร์) เมื่อปี 1978 ได้ประสบความสำเร็จทั้งด้านรายได้และคำวิจารณ์เป็นอย่างมาก ทางสตูดิโอ Blumhouse จึงได้เปิดไฟเขียวให้พัฒนาภาคต่อ นั่นคือ Halloween Kills อย่างเป็นทางการ
ล่าสุดเว็บไซต์ WECT ได้รายงานว่า Halloween Kills จะเริ่มถ่ายทำในวันพฤหัสบดีที่ 12 กันยายน 2019 นี้ ที่เมืองวิลมิงตัน รัฐนอร์ทแคโรไลนา ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งข้อมูลดังกล่าวมาจากการที่ทางเมืองวิลมิงตันได้อนุญาตให้ถ่ายทำภาพยนตร์ในเขตเมืองแล้ว และ Halloween Kills จะเดินเรื่องต่อจากที่ Halloween (2018) ได้ทิ้งท้ายเอาไว้
ทั้งนี้ ทีมเขียนบทได้วางเนื้อเรื่องให้ Halloween Kills เป็นการกลับมาเผชิญหน้ากันอีกครั้ง ระหว่าง Michael Myers ฆาตกรต่อเนื่องสุดโหด และ Laurie (ยังคงรับบทโดย Jamie Lee Curtis) นับเป็นภาคที่ 2 ในไตรภาคใหม่ จะไปจบเรื่องราวไตรภาคใหม่นี้ด้วย Halloween Ends เป็นภาคปิดท้าย
นับถึงวันนี้ Halloween ภาคล่าสุดนี้ก็มีอายุ 40 ปีบริบูรณ์ ถ้านับจากภาคแรกในปี 1978 ที่ไมเคิล ไมเยอร์ส ได้แนะนำตัวเองให้โลกรู้จัก และทำให้เขากลายเป็นคาแรกเตอร์ฆาตกรสวมหน้ากากอมตะตัวหนึ่งของโลกภาพยนตร์ ด้วยความน่ากลัวของมันทำให้ Halloween กลายเป็นหนังเชือดที่มีภาคต่อมากที่สุด Halloween ภาคล่าสุดนี้คือภาคที่ 11 ของแฟรนไชส์ชุดนี้แล้ว
และการกลับมาครั้งนี้ หนังตกอยู่ในมือของทีมงานที่ดูห่างไกลกับวงการหนังสยองขวัญมาก คนแรกคือ เดวิด กอร์ดอน กรีน ผู้กำกับฝีมือดีที่ไม่เคยผ่านงานกำกับหนังสยองขวัญมาก่อนเลย ผลงานเด่น ๆ ของเขาคือหนังตลก Your Highness , Pineapple Express และหนังดราม่าอย่าง Stronger ส่วนงานเขียนบทนั้นผู้กำกับเดวิด กอร์ดอน กรีน ก็รับหน้าที่เขียนบทร่วมกับ เดวิด แม็คไบรด์ ดาราตลกร่างท้วมที่เคยเขียนบทหนังและทีวีซีรีส์มาหลายเรื่องเช่นกัน แต่นี่ก็คืองานเขียนบทหนังสยองขวัญเรื่องแรกของเขา แล้วก็ต้องยอมรับว่าทั้งคู่ทำได้ดีเกินคาด ด้วยเหตุที่ว่า Halloween เป็นแฟรนไชส์หนังสยองขวัญที่มีอายุมากถึง 40 ปี มีภาคต่อมากมาย มีไทม์ไลน์ออกทะเลไปไกล ทั้งเดวิด และ แดนนี่ ก็เลยเลือกที่จะเมินเฉยกับเรื่องราวภาคต่อทั้งหมดแล้วกำหนดให้เหตุการณ์ในภาคนี้ เชื่อมต่อโดยตรงกับ Halloween ภาคแรกในปี 1978 มันซะเลย
ผู้เขียนเองได้ทำการบ้านด้วยการหยิบ Halloween (1978)มาดูอีกครั้ง กับวิวัฒนาการของหนังสยองขวัญในฮอลลีวู้ดที่เดินหน้าไปมาก จึงทำให้การรับชมในวันนี้รู้สึกว่าเทคนิคการนำเสนอเมื่อ 40 ปีก่อนมันช่างจืดชืด ชวนให้สงสัยว่า ไมเคิล ไมเยอร์ส มันกลายเป็นฆาตกรจอมเชือดที่ฮิตยาวนานมาขนาดนี้ได้อย่างไร ถ้าเทียบกับเจสัน วอร์ฮี จาก Friday The 13th และ เฟรดดี้ ครูเกอร์จาก Nightmare on Elm Street แล้ว ไมเคิล ไมเยอร์ส จัดได้ว่าเป็นฆาตกรสวมหน้ากากที่ดูไร้สาระ ขาดเหตุจูงใจในการฆ่าที่สุด และอยู่ห่างไกลเหตุและความสมจริงที่สุด เพราะทั้งเจสัน และ เฟรดดี้ ต่างก็เป็นปีศาจร้ายที่เต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น แต่ไมเคิล ไมเยอร์ส คือมนุษย์ปุถุชนดี ๆ นี่เอง มีเลือดและเนื้อเหมือนกับเรา ๆ แต่ไร้ซึ่งแรงจูงใจในการเป็นฆาตกรต่อเนื่อง และไม่มีเหตุผลที่มาอธิบายว่าทำไมมันถึงอึดถึกทนและฆ่าไม่ตายเสียที และเหตุใดถึงมีพละกำลังมหาศาลได้เพียงนี้ ก็ทำได้เพียงแต่เพิกเฉยกับหลักการและเหตุผลเหล่านั้นเสีย และเข้าใจเสียว่ามันคือธรรมเนียมที่ต้องละไว้ในฐานที่เข้าใจว่านี่คือหนึ่งในหนังเชือดที่ฆาตกรสวมหน้ากากล้วนมีพลังและความสามารถเหล่านี้เป็นคุณสมบัติพื้นฐานกันอยู่แล้ว
จากหนังสยองขวัญเบสิคในภาคแรก แม้หนังจะเป็นผลผลิตของจอห์น คาร์เพนเตอร์ หนึ่งในปรมาจารย์หนังสยองขวัญของฮอลลีวู้ด แต่หนังก็อยู่ในมาตรฐานหนังสยองขวัญยุคนั้นที่เล่าทุกอย่างโดยแบนราบ ทั้งตัวไมเคิล ไมเยอร์ส และบรรดาเหยื่อทุกตัว เดินเรื่องตามสูตรสำเร็จที่นางเอกของเรื่องจะต้องถึกทนและเอาชนะเจ้าฆาตกรสวมหน้ากากได้ในที่สุด ก่อนที่เจ้าฆาตกรสวมหน้ากากจะอันตรธานไปเพื่อสานต่อวีรกรรมในภาคต่อไป
พอมาถึง Halloween 2018 ทั้งเดวิด กอร์ดอน กรีน และ แดนนี่ แม็คไบรด์ ทำให้ ลอรี่ สโตรด ตัวละครดั้งเดิมจากภาคแรกดูมีมิติตัวตนมากขึ้น จากบทสนทนาทำให้เราให้เรารู้ว่าตลอด 40 ปีที่ผ่านมา ลอรี่ ยังคงฝังใจกับเหตุการณ์ร้ายตั้งแต่ภาคแรก ส่งผลให้เธอกลายเป็นบุคคลประหลาดในสังคมและแม้กระทั่งครอบครัวตัวเอง ต้องหย่าถึง 2 ครั้ง และมีปัญหาในการสานสัมพันธ์กับ แคเร็น ลูกสาวตัวเอง ที่เธอบังคับให้ฝึกการใช้อาวุธป้องกันตัวเองตั้งแต่ยังเล็ก และเพิ่มตัวละครสำคัญอย่าง อลิสัน หลานสาว ที่รักและเห็นใจยายพยายามที่จะสานสัมพันธ์แม่และยายให้กลับมาดีเหมือนเดิม การเพิ่มเรื่องราวในส่วนดราม่าของหนัง เป็นส่วนที่น่าชื่นชมมาก ทำให้ Halloween 2018 ดูมีคุณค่าสาระมากกว่าหนังเชือดแบบฉาบฉวยที่มักจะใส่แต่ตัวละครวัยรุ่นให้เข้ามาเป็นเหยื่อทีละคนแล้วก็จบ ๆ ไปอีก 1 ภาค
ในขณะเดียวกันที่หนังเล่าเรื่องราวของลอรี่ สโตรด หนังก็เล่าเรื่องราวของไมเคิล ไมเยอร์ส ขนานกันไป เมื่อทางเรือนจำดำเนินการย้ายที่คุมขังไมเคิล แล้วเจ้าฆาตกรโหดก็หลุดรอดมาได้อีกครั้งระหว่างขนย้าย ซึ่งเป้าหมายของมันหลังจากพบอิสรภาพก็คือการมุ่งหน้ามาหา ลอรี่ สโตรด คู่แค้นตลอดกาล แต่ระหว่างทางก็คอยจัดการกับบรรดาวัยรุ่นโชคร้ายด้วยวิธีการโหด ๆ ซึ่งหนังก็ยังคงฉลาดในการสอดแทรกฉากเหล่านี้ไว้ตามมาตรฐานหนังเชือด ก่อนจะพาให้เรื่องราวทั้ง 2 ส่วนมาบรรจบกันในฉากไคลแมกซ์ท้ายเรื่อง ที่หนังปูอารมณ์มากว่าชั่วโมง หนึ่งคือผู้ล่าที่รอคอยเวลากำจัดเหยื่อที่มันค้างคาใจมา 40 ปี ส่วนอีกฝ่ายที่เตรียมพร้อมรับมือเต็มที่เพราะรู้ว่าวันนี้จะต้องมาถึงด้วยการฟิตทั้งร่างกายฝึกซ้อมอย่างหนักแม้ในวัย 60 กว่าปีและการแปลงบ้านให้กลายเป็นป้อมปราการและคลังแสงขนาดย่อมเพื่อรอคอยการมาเยี่ยมของไมเคิล ไมเยอร์ส หนังถ่ายทอดฉากไคลแมกซ์ออกมาได้สมการรอคอย เป็นการเผชิญหน้าที่ทั้งลุ้นและมันส์ แล้วก็ต้องชื่นชมเดวิด กอร์ดอน กรีน อีกครั้งกับการกำกับหนังสยองขวัญครั้งแรก และทำได้ชวนลุ้นระทึกได้เพียงนี้
Halloween 2018 จัดเป็นหนังสยองขวัญที่มาครบรสทั้งโหดตามมาตรฐานหนังเชือด ตุ้งแช่พองาม และที่ชอบมากคือการเพิ่มเรื่องราวดราม่า ยาย-แม่-หลาน ที่ปูความมาใช้ประโยชน์ได้อย่างเยี่ยมในฉากไคลแมกซ์ ด้วยความที่หนังเล่าเรื่องราวจากภาคต่อที่มีอายุถึง 40 ปี น้อยคนมากล่ะที่จะเคยดูภาคแรก แต่หนังก็ปูความถึงเหตุการณ์ในภาคแรกพอประมาณ ถึงแม้จะเคยดูภาคแรกก็สามารถสนุกไปกับภาคนี้ได้ ไม่ถึงกับขาดอรรถรสไปมากมายนัก หนังใช้ทุนสร้างไปเพียง 10 ล้านเหรียญเท่านั้น แค่สัปดาห์แรกก็ทะลุ 80 ล้านเหรียญไปแล้ว เป็นการกลับมาที่สมศักดิ์ศรีมาก ๆ ได้ดูภาคต่อกันแน่นอนครับ